(ครูว์ 26 พฤษภาคม 2565) เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปี Continental GT อัครยนตรกรรมแกรนด์ทัวเรอร์แห่งยุคนับตั้งแต่เริ่มสายการผลิต R-Type Continental โดยถือเป็นอัครยนตรกรรมที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ 103 ปีของเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส และยังเป็นอัครยนตรกรรมคันแรกที่ได้ใช้ชื่อ Continental ด้วยจำนวนการผลิตเพียง 208 คัน ทำให้ R-Type Continental เป็นรถที่หาตัวจับได้ยากในช่วงทศวรรษที่ 1950 ซึ่งได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับ Continental GT คันแรกในปี 2546
R-Type Continental คือ อัครยนตรกรรมต้นแบบรุ่นแรก (รู้จักในนาม ‘Olga’ เนื่องจากมีการจดทะเบียน OLG490) เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2494 จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 2495 R-Type Continental ได้เข้าสู่สายการผลิตเพื่อส่งมอบในเดือนมิถุนายน ในขณะนั้น R-Type Continental ถือเป็นรถยนต์สี่ที่นั่งที่เร็วที่สุดในโลก โดยได้เป็นต้นแบบของอัครยนตรกรรมรุ่น Continental GT ในยุคปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นรถยนต์ที่มีราคาสูงที่สุดด้วยราคากว่า 6,928 ปอนด์ หรือเกือบ 4 เท่าของราคาบ้านในสหราชอาณาจักรในช่วงปี 2495
อัครยนตรกรรมต้นแบบ R-Type Continental
ผลงานการรังสรรค์โดย Ivan Evernden หัวหน้าวิศวกร และ John Blatchley หัวหน้านักออกแบบ R-Type Continental ได้รับการขนานนามจากนิตยสาร Autocar ว่าเป็น ‘พรมวิเศษสุดล้ำที่มอบการเดินทางสุดพิเศษ’
2 อัครยนตรกรรมรุ่นพิเศษช่วงก่อนสงครามโลกอย่าง ‘Embiricos’ และ Mk V Corniche ได้แสดงให้เห็นถึงจุดเด่นของการออกแบบด้านอากาศพลศาสตร์ที่ได้รับการพัฒนา โดยในช่วงต้นทศวรรษ 1950 Ivan Evernden ได้รับแรงบันดาลใจจาก 2 อัครยนตรกรรมต้นแบบในการรังสรรค์อัครยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้ที่มีรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวอย่าง R-Type Bentley Saloon ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาด 4.5 ลิตร มอบพละกำลังเพิ่มขึ้นจาก 140 เป็น 153 แรงม้า สามารถทำความเร็วเฉลี่ย 118.75 ไมล์ต่อชั่วโมงในห้ารอบ (รอบที่ดีที่สุด 120 ไมล์ต่อชั่วโมง) ในการทดสอบ ณ มงต์เออรี ใกล้กรุงปารีส
ในการควบคุมน้ำหนักของตัวรถ HJ Mulliner ผู้ออกแบบตัวถังได้สร้างตัวถัง กรอบหน้าต่าง กรอบกระจกบังลม ไฟหลัง โครงที่นั่ง และกันชนเป็นอะลูมิเนียม และการเลือกสรรล้อยางก็มีส่วนสำคัญในการควบคุมน้ำหนักเช่นกัน โดยในขณะนั้นไม่มียางมาตรฐานที่จะสามารถรองรับรถน้ำหนัก 2 ตันที่ความเร็วเกิน 115 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งยาง Dunlop Medium Distance Track ก็ได้ถูกเลือกใช้สำหรับรุ่นนี้
R-Type Continental คันแรกได้ถูกส่งมอบในเดือนมิถุนายน 2495 โดยก่อนการสิ้นสุดสายการผลิตในปี 2498 ได้มีการผลิตอัครยนตรกรรมรุ่นนี้จำนวนกว่า 208 คัน โดยในจำนวนนี้มี 193 คัน ออกแบบโดย HJ Mulliner
อัครยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้แห่งยุค
Continental GT ยุคใหม่ทั้ง 3 เจเนอเรชั่นมีการออกแบบภายนอกที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก R-Type Continental โดยมี ‘เส้นสายแห่งพละกำลัง’ อันสง่างามที่ลากไปข้างหลังจากซุ้มล้อหน้า ส่วนโค้งด้านหลังที่ดูแข็งแกร่งและชัดเจน และแนวหลังคาที่ลาดเอียงอย่างสง่างาม ล้วนเป็นการตีความการออกแบบจากรุ่น R-Type Continental ซึ่งทำให้ Continental GT มีความสง่างาม ความงดงาม และรูปลักษณ์อันทรงพลัง เฉกเช่นเดียวกับรุ่น R-Type Continental ในทำนองเดียวกัน สมรรถนะในการบรรทุกผู้โดยสารเต็มอัตราพร้อมสัมภาระด้วยความเร็วสำหรับการเดินทางระยะไกลอย่างสะดวกสบายก็มาจาก DNA ของรุ่น R-Type Continental ที่มีอายุกว่า 70 ปี โดยล่าสุด Continental GT Speed ได้เพิ่มสมรรถนะที่เหนือชั้น ผสมผสานศักยภาพในแบบคอนติเนนทัลที่ล้นเหลือและไม่มีใครเทียบได้
เอเอเอสฯ มอบข้อเสนอที่ดีที่สุดในการครอบครอง Bentley Continental GT V8 ราคาเริ่มต้น 19.4 ล้านบาท และ Bentley Continental GTC V8 ราคาเริ่มต้น 21.3 ล้านบาท พร้อมการรับประกันจากโรงงานผู้ผลิตฯ พร้อมตัวเลือกสำหรับแผนต่อระยะเวลาการรับประกันจากโรงงานผู้ผลิต (Bentley Extended Warranty) สูงสุด 4 ปี และผู้ช่วยฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นาน 3 ปีเต็ม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด โทร. 080-925-9999 หรือ 02-261-1050 LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V
เกี่ยวกับเบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด
เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าเบนท์ลีย์ทุกท่านและรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกคัน ด้วยทีมวิศวกรที่มีความชำนาญและประสบการณ์สูงนานกว่า 35 ปี โดย เอเอเอสฯ ได้จัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อจัดส่งวิศวกรไปฝึกอบรมที่โรงงานเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ประเทศอังกฤษ ทุกปี ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกท่านตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอสฯ ดูแลทั้งรถและคุณ (AAS Looking After YOU And Your CAR)” และให้ชื่อ AAS เป็น “The Name You Can Trust” มานานกว่า 35 ปี
