Close

ดุดันที่สุดในรุ่น – ‘Continental GT Supersports’ การกลับมาอีกครั้งของยนตรกรรมสายพันธุ์สปอร์ตแท้ในตำนาน 100 ปี

(ครูว์ 14 พฤศจิกายน 2568) เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เปิดตัว Continental GT Supersports ยนตรกรรมสปอร์ตในตำนานรุ่นที่ 4 หลังจากการเผยโฉมเป็นครั้งแรกเมื่อ 100 ปีที่แล้ว Continental GT Supersports รุ่นใหม่ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ห้องโดยสารแบบสองที่นั่งสไตล์สปอร์ต และน้ำหนักที่เบากว่าสองตัน มอบการมีส่วนร่วมในการขับขี่สูงสุด เครื่องยนต์แบบสันดาปภายใน ไร้มอเตอร์ไฟฟ้า (Non-hybrid) เจ้าของขุมพลังเครื่องยนต์รุ่น V8 ขนาด 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ 666 แรงม้า แรงบิด 800 นิวตันเมตร ส่งพละกำลังผ่านเกียร์คลัตช์คู่แปดสปีดไปยังล้อหลัง ตัวรถยังมากับเบรกคาร์บอนเซรามิก ล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบาขนาด 22 นิ้วใหม่ที่พัฒนาร่วมกับ Manthey Racing และท่อไอเสียไทเทเนียมจาก Akrapovič เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมด้วยยาง Pirelli Trofeo RS ยางรถยนต์สมรรถนะสูง พร้อมทวงบัลลังก์ยนตรกรรมสายพันธุ์สปอร์ตแท้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี


Continental GT Supersports ใหม่ สะท้อนการออกแบบภายนอกที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วยการพัฒนาฟังก์ชันเพื่อเพิ่มแรงกดสูงสุดและช่วยลดน้ำหนัก กันชนหน้าใหม่ผสานสปลิตเตอร์หน้าขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เบนท์ลีย์เคยติดตั้งมา ส่งลมผ่านไปยังเครื่องยนต์และเบรกหน้า อีกทั้ง วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ กาบประตูห้องโดยสาร บังโคลน ดิฟฟิวเซอร์หลัง และการติดตั้งปีกหลังผสานกันเพื่อสร้างแรงกดที่มากกว่า Continental GT Speed ถึง 300 กิโลกรัม แนวทางการลดน้ำหนักตัวถังยังรวมถึงหลังคา ซึ่งผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วง แต่ยังคงความแข็งแรงของโครงสร้างตัวถังไว้

ภายในห้องโดยสารแบบสองที่นั่งมาพร้อมเบาะโดยสารสไตล์สปอร์ตคู่ใหม่ที่เพิ่มความกระชับ พร้อมการจัดวางในตำแหน่งที่ต่ำลง ส่วนภายในห้องโดยสารด้านหลังถูกแทนที่ด้วยการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์และการหุ้มหนัง โดยรูปแบบภายในห้องโดยสารมีให้เลือกทั้งแบบโมโนโทน ดูโอโทน และไตรโทน พร้อมการเลือกใช้วัสดุหนังไดนามิกา และวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารในแบบยนตรกรรมสปอร์ต


Continental GT กับระบบขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นแรก
ระบบส่งกำลังของ Continental GT Supersports เป็นแบบ Non-hybrid ที่ปราศจากมอเตอร์ไฟฟ้า โดยขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) เครื่องยนต์รุ่น V8 เทอร์โบคู่ขนาด 4.0 ลิตรที่ได้รับการพัฒนาใหม่ คือ หัวใจสำคัญของรถยนต์รุ่นนี้ พร้อมด้วยช่องเก็บข้อเหวี่ยงที่แข็งแกร่งขึ้น หัวสูบที่ได้รับการพัฒนา และเทอร์โบที่ใหญ่ขึ้น การพัฒนานี้ทำให้เครื่องยนต์สามารถมอบพละกำลังสูงสุดได้ถึง 666 แรงม้า (166.5 แรงม้าต่อลิตร) พร้อมด้วยแรงบิดกว่า 800 นิวตันเมตร ตัวเครื่องยนต์ยังมาพร้อมกับระบบเกียร์คลัตช์คู่ ZF แปดสปีดที่ใช้ในรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกรุ่น แต่ได้รับการพัฒนาใหม่สำหรับในรุ่น Supersports พร้อมกับการเปลี่ยนเกียร์ที่มีความฉับไวและตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยการลดเกียร์ขณะเบรกได้รับการปรับแต่งได้อย่างแม่นยำเพื่อมอบเสถียรภาพและความมั่นใจสูงสุดให้แก่ผู้ขับขี่


Supersports ใหม่มาพร้อมกับท่อไอเสียไทเทเนียมที่ได้รับการปรับแต่งให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด โดยระบบไอเสียนี้ได้รับการพัฒนาร่วมกับ Akrapovič ซึ่งเป็นพันธมิตรของแบรนด์รถยนต์เบนท์ลีย์ มอบเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแบบของรุ่น Supersports ระบบไอเสียนี้จะช่วยปรับแต่งเสียงเครื่องยนต์ V8 แบบครอสเพลนให้ดุดันและทรงพลังยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องมีการปรับเพิ่มเติมภายในห้องโดยสารแต่อย่างใด

สุดยอดยนตรกรรมสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 310 กม./ชม. ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.7 วินาที

วิศวกรของเบนท์ลีย์ได้พัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ขับขี่ด้วยการออกแบบ Continental GT Supersports รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ นอกเหนือจากรุ่น Continental GT3 ด้วยการส่งพละกำลังไปยังล้อหลังผ่านระบบ eLSD โดยระบบ eLSD ได้รับการเสริมจากระบบกระจายแรงบิดด้วยเบรกที่ระบบทั้งสองจะทำงานร่วมกันเพื่อให้เข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ พร้อมมอบการยึดเกาะถนนสูงสุด ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังยังคงได้รับการติดตั้งเพื่อความคล่องตัวและเสถียรภาพสูงสุดในขณะขับขี่ พร้อมด้วยการพัฒนาระบบบังคับเลี้ยว ช่วงล่าง ระบบจัดการยึดเกาะถนน และระบบ ESC ใหม่ทั้งหมด

การตั้งค่า ESC จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับการมีส่วนร่วมหรือความช่วยเหลือที่ต้องการได้ ตั้งแต่โหมดเปิดใช้งานแบบเต็มระบบด้วยโหมดไดนามิกที่ให้การลื่นไถลและโอเวอร์สเตียร์ที่สามารถควบคุมได้ไปจนถึงโหมดปิดการใช้งาน ซึ่งผู้ขับขี่จะสามารถควบคุมเพลาล้อหลังได้อย่างสมบูรณ์ โดยสามารถทำให้ตัวรถเกิดโอเวอร์สเตียร์ภายใต้การควบคุมได้

ตัวถังใช้ระบบกันสะเทือนแบบปีกนกคู่อะลูมิเนียมด้านหน้า พร้อมด้วยเพลาหลังแบบมัลติลิงค์ สปริงลม และโช้คอัพแบบทวินแชมเบอร์ใหม่ที่ควบคุมโดย ECU ในด้านการกระแทกและการคืนตัวอิสระ รุ่น Supersports ยังมาพร้อมกับ Bentley Dynamic Ride ระบบควบคุมการทรงตัวด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์ที่สามารถสร้างแรงบิดสูงสุด 1,300 นิวตันเมตรภายใน 0.3 วินาที พร้อมด้วยระบบเบรกรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ประกอบไปด้วยจานเบรกคาร์บอน-ซิลิคอน-คาร์ไบด์ (CSiC) ขนาด 440 มม. ที่เพลาหน้ายึดด้วยคาลิปเปอร์ 10 ลูกสูบ และจานเบรกขนาด 410 มม. พร้อมคาลิปเปอร์ 4 ลูกสูบที่เพลาหลังที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้ ตัวรถยังมาพร้อมกับคาลิปเปอร์สีดำเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และตัวเลือกในเฉดสีแดง

Supersports มาพร้อมกับล้ออัลลอยด์ใหม่ขนาด 22 นิ้วที่พัฒนาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก Manthey Racing กับตัวเลือกสองสีอย่างสีดำและสีดำที่ตกแต่งด้วยโลหะสีเงินเฉพาะในรุ่น Supersports โดยผู้ครอบครองสามารถเลือกยาง Pirelli P-Zero ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน หรือ ตัวเลือกยางสมรรถนะสูงอย่าง Trofeo RS ใหม่ได้ ซึ่งการติดตั้งยาง Trofeo RS จะทำให้น้ำหนักตัวถังลดลง นั้นหมายความว่ารุ่น Supersports จะสามารถเข้าโค้งได้เร็วกว่ารุ่น Continental GT Speed ประมาณ 30%


ที่สุดแห่งยนตรกรรมที่มีน้ำหนักเบาที่สุดและดาวน์ฟอร์ซมากที่สุดในรอบ 85 ปี
Continental GT Supersports ใหม่มีน้ำหนักเบากว่า Continental GT เกือบครึ่งตัน โดยมีน้ำหนักที่น้อยกว่า 2,000 กิโลกรัม ปัจจัยสำคัญในการลดน้ำหนักมาจากเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบสันดาปภายในเพียงอย่างเดียวและระบบขับเคลื่อนล้อหลัง หลังคาที่แต่เดิมผลิตจากอะลูมิเนียมได้ถูกแทนที่ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่ช่วยลดน้ำหนักและลดจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถ


ห้องโดยสารส่วนหลังได้รับการปรับปรุงใหม่ให้สามารถลดน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้น พร้อมด้วยการลดการใช้ฉนวนกันเสียง และระบบเสียงที่ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่เฉพาะห้องโดยสารส่วนหน้า หลักการลดน้ำหนักยังมาจากการลดระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่บางระบบ ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับรุ่น Continental GT ที่เน้นผู้ขับขี่เป็นหลัก

รายละเอียดภายนอกของรถได้รับการผสมผสานกันอย่างลงตัว ถือเป็นยนตรกรรมที่สะท้อนรูปลักษณ์ความสปอร์ตและความดุดันได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด โดยมีองค์ประกอบใหม่จากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่จะช่วยลดน้ำหนัก ดังต่อไปนี้:

• กันชนหน้าส่วนล่างรูปแบบใหม่ พร้อมสปลิตเตอร์หน้าแบบแอโรไดนามิกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่รถยนต์เบนท์ลีย์เคยติดตั้งมา กันชนมีช่องระบายความร้อนใหม่สองช่องในแต่ละด้าน ซึ่งส่งผ่านลมไปยังเบรกหน้าและเครื่องยนต์ เหนือกันชนตกแต่งด้วยกระจังหน้าแบบตาข่ายน้ำหนักเบาดีไซน์ใหม่อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่น Supersports ที่ผลิตจากอะลูมิเนียมคุณภาพสูง
• ปีกเล็กแบบซ้อนกันสองคู่ตกแต่งอยู่ที่มุมกันชนหน้า พร้อมทำงานร่วมกับสปลิตเตอร์เพื่อลดการยกตัวด้านหน้าของรถ
• สเกิร์ตข้างใหม่ตลอดความยาวฐานล้อของตัวรถ
• ด้านหลังล้อหน้าตกแต่งด้วยบังโคลนรูปทรงตัว B ใหม่ ช่วยควบคุมการไหลของอากาศจากซุ้มล้อหน้า พร้อมช่วยถ่ายเทอากาศที่มีแรงดันสูงและควบคุมการไหลของอากาศไปตามด้านข้างของตัวถัง
• ดิฟฟิวเซอร์ด้านหลังแบบใหม่ติดตั้งบนโครงสร้างกันชนหลังแบบใหม่ ซึ่งรวมถึงช่องระบายอากาศสำหรับซุ้มล้อหลัง
• สปอยเลอร์หลังแบบเดี่ยวติดตั้งถาวรบริเวณด้านบนของฝากระโปรงหลัง

ชิ้นส่วนแอโรไดนามิกเหล่านี้ล้วนผ่านการทดสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยการเน้นการออกแบบตามรูปทรง โดยไม่ได้ติดตั้งเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ทั้งหมดนี้สามารถช่วยเพิ่มแรงกดได้มากกว่า Continental GT Speed ถึง 300 กิโลกรัม ขณะเดียวกันก็ยังรักษาสมดุลของตัวรถ และช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักแบบไดนามิกที่ 54:46 เมื่อรถหยุดนิ่ง และเคลื่อนที่ไปด้านหลังด้วยความเร็วเมื่อรถออกตัว

การตกแต่งในขั้นสุดท้ายด้วยคาร์บอนไฟเบอร์จะเป็นการตกแต่งกระจกมองข้างและฝาครอบเครื่องยนต์


ความสปอร์ตภายในห้องโดยสาร
ภายในห้องโดยสารของรุ่น Supersports ใหม่ สะท้อนภาพลักษณ์ความสปอร์ตและความดุดันด้วยแรงบันดาลใจจากพละกำลังและความแม่นยำของกีฬามอเตอร์สปอร์ต การจัดวางเบาะโดยสารภายในเป็นแบบ 2 ที่นั่ง เน้นย้ำถึงการมีส่วนร่วมของผู้ขับขี่ที่เป็นจุดเด่นของยนตรกรรมสปอร์ตรุ่นนี้ โดยทุกรายละเอียดล้วนได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ พร้อมกำหนดนิยามใหม่ของความหรูหราและสมรรถนะความสปอร์ตที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว


เบาะโดยสารแบบสปอร์ตน้ำหนักเบาแบบใหม่สำหรับคนผู้ขับขี่และผู้โดยสารมอบการรองรับสรีระด้านข้างที่เพิ่มขึ้น และตำแหน่งเบาะโดยสารที่ต่ำลง พร้อมด้วยชิ้นส่วนคาร์บอนบริเวณไหล่ เบาะโดยสารสามารถปรับไฟฟ้าได้ถึง 11 ทิศทาง พร้อมระบบปรับอุณหภูมิ ห้องโดยสารส่วนหลังได้รับการออกแบบด้วยการใช้โครงคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาโอบล้อมห้องโดยสารส่วนหลังไว้ทั้งหมด พร้อมกับโครงเบาะโดยสารหุ้มด้วยหนังที่เข้ากับส่วนอื่นๆ ของห้องโดยสาร ให้บรรยากาศที่สะอาดตาและคุณสมบัติการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ

วีเนียร์คาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาที่ตกแต่งบริเวณประตูห้องโดยสารและแผงหน้าปัดผสานเข้ากับหนังไดนามิกา วัสดุทางเทคนิคบริเวณพนักพิงเบาะโดยสาร แผงกลางประตูห้องโดยสาร และแผงบุหลังคาภายในห้องโดยสาร โดยมีงานปักและตราสัญลักษณ์ Supersports พร้อมด้วยหมายเลขเฉพาะรุ่นตกแต่งบนคอนโซลกลาง


การออกแบบเฉพาะบุคคล
Continental GT Supersports ทุกรุ่นจะมีหมายเลขกำกับทุกคันก่อนออกจากโรงงาน โดยลูกค้าสามารถเลือกหมายเลขเฉพาะได้จากรถยนต์จำนวน 500 คันที่ผลิตโดยช่างฝีมือ ณ เมืองครูว์

ตัวเลือกเฉดสีเริ่มต้นจาก 24 เฉดสีหลักที่เน้นภาพลักษณ์ด้านสมรรถนะ พร้อมด้วยสีพิเศษที่รวมถึงโลโก้ Supersports และสีแบบด้านจาก Bentley Mulliner นอกเหนือจากภายนอกแบบโทนสีเดียวแล้ว ทีมออกแบบของเบนท์ลีย์ มอเตอร์สยังได้พัฒนา “รูปแบบการออกแบบเฉพาะ” ขึ้นมา 5 แบบ ซึ่งประกอบไปด้วยลายเส้นแนวตั้งขนาดเล็กและป้ายชื่อ Supersports ในเฉดสีตัดกันในส่วนล่างตัวถังที่อยู่ด้านหลังซุ้มล้อหน้า หรือลายเส้นสองสีตัดกันบริเวณส่วนท้ายของตัวรถ

การตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ภายนอกมีให้เลือกแบบเคลือบเงา พร้อมตัวเลือกการพ่นสีหรือการทำลายเส้นได้อย่างอิสระ

ภายในห้องโดยสารมีสีหลักให้เลือก 22 เฉดสี พร้อมด้วยสีรอง 11 เฉดสี และเฉดสีเน้นอีก 9 เฉดสี พร้อมด้วยตัวเลือกรูปแบบโทนสีเดียว แบบดูโอโทน (รูปแบบมาตรฐาน) และแบบสีไตรโทนใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และการตกแต่งแบบ Dark Chrome Specification

นอกเหนือจากการตกแต่งด้วยวีเนียร์แบบคาร์บอนไฟเบอร์ภายในห้องโดยสารแล้ว ผู้ครอบครองยังสามารถเลือกได้ระหว่างวีเนียร์แบบ Diamond Brushed หรือ Engine Turned Aluminium ในสีเฉดเข้ม Dark Tint หรือแบบเรียบง่ายแต่หรูหราในแบบวีเนียร์ Piano Black


การเปิดรับคำสั่งจอง Continental GT Supersports ใหม่ มีเฉพาะในประเทศดังต่อไปนี้: สหราชอาณาจักร ประเทศในยุโรป (EU27 สวิตเซอร์แลนด์และตุรกี) สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มาเลเซีย โอมาน บาห์เรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และคูเวต

เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดรับคำสั่งจองรถยนต์เบนท์ลีย์ รุ่น New Continental GT (High Performance V8 Hybrid) ราคาเริ่มต้น 21.9 ล้านบาท พร้อมมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดด้วยเอกสิทธิ์การบริการหลังการขายมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตที่มาพร้อมกับการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดที่ ‘นานที่สุด’ ถึง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) การรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต บริการผู้ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (24-hour Bentley Roadside Assistance) และ Service Package นาน 3 ปีเต็ม พร้อมสิทธิ์การต่อการรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต (Bentley Extended Warranty) สูงสุด 4 ปี

สำหรับผู้ที่สนใจครอบครองรถยนต์เบนท์ลีย์สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด โทร. 080-925-9999 หรือ 02-261-1050 LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V


เกี่ยวกับ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด
เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าเบนท์ลีย์ทุกท่านและรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกคันด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 39 ปี พร้อมด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือตรวจสอบและวิเคราะห์สำหรับรถยนต์เบนท์ลีย์โดยเฉพาะนำเข้าจากโรงงาน การรับประกันอะไหล่แท้ และบุคลากรที่ผ่านการอบรมอย่างเข้มข้น โดยมี Qualified High Voltage Technician หนึ่งเดียวในประเทศไทยเป็นผู้รับรองงานซ่อมและงานบำรุงรักษารถยนต์ไฮบริดตามมาตรฐานโรงงาน ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกท่านตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอสฯ ดูแลทั้งรถและคุณ (AAS Looking After YOU And Your CAR)” และให้ชื่อ AAS เป็น “The Name You Can Trust”

Picture of AAS Bentley Marketing

AAS Bentley Marketing

Sent Successfully!

Thank you.

We will contact you shortly!